วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กินหลินจือก่อนนอน นั่นแหละ—อายุวัฒนะ...ชะลอความแก่ คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว

      เห็นหัวข้อแล้ว สมาชิกครอบครัวกาโนหลายท่านอาจข้องใจ?

        ไหนบอกว่า กินหลินจือแล้วต้องเดินหมื่นก้าว อันหมายถึงต้องมีการเคลื่อนไหว หลินจือถึงจะออกฤทธิ์ได้ดี???
        แล้วนี่กลับให้กินก่อนนอน โดยเฉพาะคู่มือการกินเล่มใหม่ มีการกินก่อนนอนกันทุกสูตร
        ไม่ว่า กินหลินจือในเวลา เช้า – กลางวัน – เย็น หรือ ก่อนนอน ต่างก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันในระหว่างการกินกลางวัน กับ การกินกลางคืน (ก่อนนอน)
        ในการกินกลางวัน ร่างกายเราจะเคลื่อนไหวอยู่เสมอ เป็นการกระตุ้นให้หลินจือทำงานรวดเร็วขึ้น รักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้ดีและได้ผลมากขึ้น เพราะการซึมซับจะรวดเร็ว ทำให้การรักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้ผลชัดเจนมากขึ้น
        ผมจะไม่เขียนให้เสียเวลาตรงนี้เกี่ยวกับการรักษาจากการกินตอนกลางวัน
        แต่ผมต้องการเน้นชุดที่กินก่อนนอนเป็นสำคัญ
        โดยปรกติ ร่างกายเราจะหลั่งสารฮอร์โมนที่สำคัญอยู่ 3 ตัว (ความจริงมีหลายตัว แต่ผมจะเขียนถึงสามตัว)
        ตอนกลางวัน ภายในร่างกายจะทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นการทำงานที่ค่อนข้างหนัก ตลอดชั่วชีวิตของแต่ละคนไม่เคยหยุด อายุยิ่งมาก ความเสื่อมของอวัยวะภายในก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และความเสื่อมจะยิ่งมาก ยิ่งหนัก ถ้าเจ้าของร่างกายไม่ดูแล ไม่ซ่อมบำรุงใด ๆ เลย
        อวัยวะภายในของเรา จึงทรหดอดทนใช้งานได้มากมายมหาศาลตลอดชั่วชีวิตของเรา จนกว่าเสื่อมโทรม หมดหนทางที่จะซ่อมแซมอีกต่อไป ก็คือกาลอวสานของร่างกาย จากไปพร้อมวิญญาณ
        ร่างกายของเรา “ไม่เคยหลับ” อย่างแท้จริง เพราะถ้าหลับนิ่งไม่ทำงานเลย ก็หมายถึง “ตาย”
        เพียงแต่ตอนที่เราหลับ อวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายจะทำงานน้อยลง หลาย ๆ ระบบจะทำการพักผ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าหยุดการทำงาน เพียงแต่ทำงานเบาลง น้อยลง ในระหว่างนี้แหละ หลาย ๆ ระบบของร่างกายจะเริ่มทำการซ่อมแซม ฟื้นฟู สิ่งที่สูญเสียไปในตอนกลางวันให้กลับมาแข็งแรงทำงานตามปรกติให้มากที่สุด เพื่อใช้ชีวิตและการดำรงชีวิตอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมอสมัยใหม่จึงได้ทำการศึกษาและตรวจสอบหรือรักษาอาการป่วยคนเราเมื่อตอนหลับ ซึ่งระบบการตรวจสอบร่างกายตอนหลับที่เรียกว่า “สลิปปิ้ง มอนิเตอร์”
        อวัยวะบางส่วนที่ทำงานค่อนข้างจะหนัก ทั้งกลางวันและกลางคืน และที่จะกล่าวถึง ได้แก่ “ตับ”  ที่ต้องรับสารอาหารที่เรากินเข้าไป ทำการเปลี่ยนแปลงทางเคมี สารอาหารที่ดีก็จะส่งไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กากหรือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ก็จะถูกส่งไปในลำไส้ใหญ่ เพื่อรอการกำจัดทิ้งโดยถ่ายเป็นอุจจาระออกไปจากร่างกาย ต้องคอยดูแลระบบเลือดให้ดีอยู่เสมอ หมอจีนถึงได้บอกว่า “ตับเป็นคลังแห่งเลือด”
        แต่พอตกกลางคืน ระบบส่วนใหญ่จะเริ่มพักผ่อนและทำงานน้อยลง แต่ตับกลับต้องทำงานอีกต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปลี่ยนแปลงสารอาหารต่าง ๆ ที่เรากินเข้าไปในตอนเย็นให้เป็นรูปแบบอื่น นำไปเก็บไว้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างเช่น คาร์โบไฮเดรสที่กินเข้าไปในตอนกลางวันจะแปลงเป็นพลังงานไปใช้งานในร่างกาย แต่พอเป็นมื้อเย็น เมื่อตกกลางคืนร่างกายไม่ได้ใช้เป็นพลังงานมากนัก ก็จะเหลือมาก ตับก็จะแปลงให้เป็นแป้งแล้วแปลงต่อไปเป็นไขมันจากอาหารต่าง ๆ แล้วส่งไปเก็บไว้ในที่ต่าง ๆ ของร่างกาย (สมัยนี้มีการรณรงค์ไม่ควรกินมื้อเย็นหรือมื้อค่ำหนัก และควรจะออกกำลังกายตอนเย็นหรือค่ำเป็นดีกว่าตอนเช้า เพื่อไม่ให้ตับต้องทำงานหนัก)  ถ้าตับทำงานหนัก จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและน้ำหนักเพิ่มได้รวดเร็วอีกด้วย โดยเฉพาะหมอจีนมักจะเตือนเรื่อง “ตับอั้นชี่” คือระบบการไหลเวียนของพลังลมปราณของตับไม่สะดวก ถูกอั้นเอาไว้ ไม่สามารถไหลเวียนได้คล่องออกจากตับ แล้วก็มีผลกระทบไปถึงอวัยวะส่วนอื่น ๆ ให้รวนไปทั้งระบบ
        ผลกระทบที่นอกจากอาการเจ็บป่วยแล้ว อาการผิวหนังเหี่ยวย่นก็เป็นผลตามมาให้เห็นอย่างชัดเจน เรามักจะเห็นได้ชัดตอนเวลาเราป่วย หรือใครก็ตามที่ป่วยหนัก ดูแล้วทำไมถึง “แก่จัง” ทำนองนั้น ก็เป็นผลมาจากตับนี่แหละ
        ในขณะเดียวกัน เมื่อร่างกายมีปัญหา การหลั่งของฮอร์โมนสามตัวก็จะเกิดปัญหาขึ้น ได้แก่สารเอนโดร์ฟินส์ (Endorphins)  หรือที่เรียกกันว่า “สารแห่งความสุข” โดยสารตัวนี้ จะหลั่งเมื่อเรามีความสุข เมื่อเราออกกำลังกายอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ตอนเราหัวเราะตอนเรามีความสุข ตอนเราอารมณ์เบิกบาน และหรือตอนเราหลับลึก แต่เมื่อร่างกายทำงานโอเว่อร์โหลด เครียด โกรธ ซึมเศร้า ทุกข์หนัก การหลั่งของสารนี้ก็ลดลง แต่จะกลายเป็นการหลั่งของสารอะดรีนาลีน (Adrenaline) แทน ซึ่งเราเรียกว่า สารแห่งความทุกข์ สารแห่งความเครียด สารแห่งความอึดอัด ยิ่งไปกว่านั้น สารอีกตัวก็จะลดน้อยโอกาสในการหลั่ง ซึ่งเป็นสารที่จะหลั่งมากในตอนเป็นเด็ก ตอนเป็นวัยรุ่นก็ยังมีมากอยู่ แต่วัยทำงานเริ่มน้อยแล้ว อายุหลัง 40 ก็ยิ่งน้อยกว่า และ 50 ขึ้นก็ยิ่งน้อยมาก ๆ เอาเป็นว่า อายุยิ่งมาก การหลั่งของสารตัวดังกล่าวก็ยิ่งน้อยลง
        นั่นเป็นสารที่ถ้าขาดมันแล้วเราจะรู้สึก ทำให้เรา “แก่เร็ว” คือสาร “โกร๊ธฮอร์โมน” (Gowth Hormone) ที่หลั่งได้มากในตอนเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ในวัยหลัง 40-60 ไปแล้ว ร่างกายจะหลั่งสารนี้ได้น้อยลงอย่างมาก อายุยิ่งมากก็ยิ่งน้อย จึงจำเป็นต้องอาศัย การออกกำลังกายอย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ “หลับลึก” “หลับสนิท” สารแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือสารแห่งการเจริญเติบโตนี้ถึงจะหลั่งได้ดีขึ้นบ้าง
          สารอีกตัวที่สำคัญ คือ เมลาโทนิน (Melatonin) ที่เรามักเรียกกันว่า นาฬิกาชีวภาพ เป็นสารที่ให้เรารู้ว่า กลางวัน กลางคืน รู้ว่า เช้า เที่ยง สาย บ่าย เย็น และที่สำคัญ สารตัวนี้คือสารที่ทำให้เราสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่สารตัวนี้จะหลั่งเต็มที่ตอนประมาณเที่ยงคืนตอนที่เรา “หลับสนิท” (ถ้าไม่หลับ ก็ไม่หลั่ง หลับไม่สนิทก็ไม่หลั่ง) แล้วจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเช้า เมื่อสารตัวนี้หลั่ง ทำให้เรากระปรี้กระเปร่า และคือที่มาของความสำคัญทำให้เกิดการชะลอความแก่
        เมื่อเรากินหลินจือและสูตรยากาโนในชุดก่อนนอน จะเข้าไปช่วยการทำงานของตับ ทำให้ตับไม่ต้องทำงานหนักขึ้น ช่วยเร่งการเผาผลาญสารอาหารไม่ให้ตกค้างในตับมากเกินไป จึงทำให้ตับทำงานน้อยลง ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเมื่อเราได้หลับสนิท หลับลึก ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนสามตัวที่กล่าวไว้คือ เอนโดร์ฟินส์ โกร๊ธฮอร์โมนและเมลาโทนิน
        เมื่อสารแห่งความสุขได้หลั่ง ทำให้เกิดอารมณ์อันสุนทรี มีความสุข จิตใจโล่งสบาย สีหน้า ใบหน้าก็จะสดชื่น เมื่อมีความสดชื่น ทุกอย่างก็เลยสดใส มีน้ำมีนวล ทำให้ดูเหมือนเป็นหนุ่มเป็นสาว
        การหลั่งของสาร โกร๊ธฮอร์โมน สารที่คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ทำให้ดูอ่อนวัย เหมือนเป็นหนุ่มเป็นสาวมากขึ้น อ่อนวัยกว่าอายุจริง
          เมื่อมีสารแห่งความสุข การหลับลึกก็ย่อมทำให้เกิดการหลั่งของสารเมลาโทนิน (แต่ต้องหมายถึงนอนก่อนเที่ยงคืน) มีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกายที่ทำให้ชะลอความแก่ คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว
        หลินจือ ไม่ใช่เพียงแค่ปรับระบบในร่างกายให้หลับง่ายขึ้น หลับลึกขึ้น ทำให้ร่างกายมีการหลั่งของสารสำคัญดังกล่าวให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยตัวของหลินจือเอง ก็มีสารที่จะเข้าไปฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ให้มีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น เมื่ออวัยวะภายในทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมแน่ชัดที่ทำให้การชะลอความแก่ได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนั้น หลินจือมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรง สร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีความสดใส มีน้ำมีนวล ก็ยิ่งทำให้ดูอ่อนกว่าวัยเพิ่มมากขึ้น
        นี่แหละ ถึงบอกว่า กินหลินจือก่อนนอน ย่อมทำให้….

        มีอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว!!!

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กินหลินจือแล้ว ทำไมต้องกินควบเครื่องดื่มด้วย?

        ตลอดขวบปีที่ผ่านมา ผมมักได้รับคำถามนี้บ่อย ๆ ว่า
        ทำไมกินหลินจือแล้ว ต้องดื่มกาแฟหรือไม่ก็ช็อกโกแล็ตของกาโนฯ ด้วย?
          นั่นนะสิ!
        บริษัทต้องการขายสินค้าเพิ่มขึ้นหรือเปล่า? อีกคำถามที่ตามมา
        แน่นอน...เข้าใจผิดเต็ม 100%
        นี่คือ
        ความปรารถนาดี เพื่อสุขภาพของผู้ป่วยด้วยความจริงใจจากบริษัทต่างหาก!
        เพราะเราต้องการให้สมาชิกครอบครัวกาโนฯ ทุกคนรวมถึงผู้ป่วยทุกท่าน ได้กินหลินจือ แล้วได้สารออกฤทธิ์ทางยาให้ครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
        สารออกฤทธิ์ทางยาของหลินจือที่ว่านี้ ไม่ได้เจาะจงชื่อของสารทางเคมี
        แต่เพื่อให้จำได้ง่าย
        จึงได้มีการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม หรือ 3 ประเภท ดังนี้
1.    สารระเหย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5%
2.    สารที่ละลายในน้ำ มีอยู่ประมาณ 30%
3.    สารที่ไม่ละลายในน้ำ มีอยู่ประมาณ 65%

ณ.ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสกัดหลินจือด้วย กรรมวิธีใดก็ตาม ยังคงไม่สามารถสกัดได้สารออกฤทธิ์ทางยาครบถ้วน 100% ของสามประเภทนี้
เรามาทำความเข้าใจในกรรมวิธีการสกัดแต่ละอย่างที่มีความแตกต่างกันก่อน

การสกัดร้อน เป็นวิธีการสกัดแบบดั้งเดิม นั่นก็คือการต้มหลินจือด้วยน้ำ ใช้ความร้อนของน้ำที่เดือดแล้วเป็นตัวดึงสารออกฤทธิ์ทางยาของหลินจือปนมากับน้ำ จากนั้นก็กรองเอาเฉพาะน้ำ จากน้ำหลินจือที่ได้ ก็จะมีวิธีการผลิตด้วยกัน 4 แบบ
ประเภทที่หนึ่ง  เอาน้ำต้มเคี่ยวกับหลินจือ จะเข้มข้นหรือไม่เข้มข้นขึ้นกับกรรมวิธีในการผลิตและการลงทุน จากนั้นส่วนใหญ่ก็จะนำไปผสมกับสมุนไพรอื่น ๆ น้อยรายที่จะใช้น้ำหลินจือที่สกัดได้นี้ล้วน ๆ 100%
ประเภทที่สอง ก็เอาน้ำหลินจือที่ได้ปนคลุกกับแป้ง แล้วปั้มเป็นเม็ด (ปัจจุบันนี้แทบจะเลิกผลิตแบบนี้แล้ว)
ประเภทที่สาม เป็นการสเปรย์ดรายน้ำหลินจือเข้าไปในห้องที่มีความเย็นจัดจนเป็นเกร็ดน้ำแข็ง แต่จะเป็นเกร็ดน้ำแข็งละลายกลับคืนเป็นน้ำได้ จึงจำเป็นต้องพ่นแป้งเข้าไปจับละอองน้ำให้เป็นผง ซึ่งจะพ่นแป้งมีคุณภาพหรือพ่นแป้งไม่มีคุณภาพ พ่นแป้งเยอะหรือพ่นแป้งน้อย ล้วนแล้วแต่มีส่วนในคุณภาพของหลินจือ
ประเภทที่สี่ เป็นการใช้ความดันสุญญากาศกดดันจนกลายเป็นผง
หลินจือสกัดด้วยความร้อนประเภทที่หนึ่งอาจได้สารหลินจือที่ละลายในน้ำได้เกือบ 100% อยู่ที่กรรมวิธีการลิตของผู้ผลิตว่าจะใส่สมุนไพรอื่นลงไปด้วยหรือไม่ ส่วนประเภทที่สองและสามจะไม่มีหลินจือล้วน 100% ด้วยกรรมวิธีการผลิต ที่จำเป็นต้องมีแป้งเข้าไปผสม ในขณะที่กรรมวิธีการผลิตประเภทที่สาม จะมีคุณภาพที่ดีและสามารถผลิตเป็นหลินจือล้วน 100%
ในขณะเดียวกัน ด้วยกรรมวิธีการผลิตแบบสกัดร้อน ความร้อน 100 องศาเซลเซียด ได้ทำลายสารระเหยจนหมดสิ้น ความร้อนสามารถดึงสารที่ละลายในน้ำที่มี 30% ออกมาได้ แต่ไม่สามารถดึงสารที่ไม่ละลายในน้ำ 65% ออกมาได้สำเร็จ ดังนั้น การผลิตประเภทที่สองและสาม แม้จะได้สารที่ละลายในน้ำมาได้ แต่ก็ไม่ถึง 30% เพราะต้องมีแป้งเข้าไปเป็นส่วนผสม จึงมีกรรมวิธีการใช้แรงกดดันสุญญากาศเท่านั้นที่ได้สารละลายในน้ำ 30%
การสกัดเย็นหรือฟรีซดราย เป็นกรรมวิธีการใช้ความเย็นจัดทำให้หลินจือแตกตัวจนกลายเป็นผง แต่ก็ไม่สามารถได้สารออกฤทธิ์ทางยาได้ครบถ้วนสมบูรณ์เช่นเดียวกัน ความเย็นทำให้ได้สารระเหยและสารที่ไม่ละลายในน้ำ รวมแล้วประมาณ 70% แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพของหลินจือที่ผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ก็คือ จะได้ สปอร์หลินจือ มาด้วย ซึ่งสปอร์หลินจือจะออกฤทธิ์ได้แรงกว่าเนื้อโพรงรังผึ้งของหลินจือได้อีกเยอะมาก เพราะฉะนั้น ด้วยกรรมวิธีการสกัดเย็นที่เป็นแบบ ฟรีซดราย จึงมีคุณภาพในการออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างแรง จัดจ้านกว่าหลิอจือที่ผลิตด้วยการสกัดร้อนเยอะมาก
มร.เลียวซูนเส็ง ได้พยายามพัฒนาที่จะให้สมาชิกครอบครัวกาโนฯ ได้ประสิทธิภาพครบถ้วนต่อสารออกฤทธิ์ทางยาทั้งสามประเภท ซึ่งแต่เดิมได้ใช้หลินจือ สกัดเย็นผสมอยู่ในเครื่องดื่มทุกประเภท
กระทั่งเมื่อประมาณสัก 10 ปีที่ผ่านมา จึงได้เปลี่ยนแปลงกรรมวิธีการผลิตเครื่องดื่ม ด้วยการใช้น้ำหลินจือสกัดร้อนผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกับเครื่องดื่มชนิดนั้นเลย เช่น หลินจือจะอยู่ในเนื้อเดียวกับเนื้อกาแฟ จนแยกไม่ออกว่า ส่วนไหนเป็นกาแฟ ส่วนไหนเป็นหลินจือ
นี่แหละคือสาเหตุที่บริษัทกาโนฯ พยายามผลักดันให้คนที่กินหลินจือแล้ว ควรจะร่วมด้วยช่วยกันกับการดื่มเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น ซึ่งเครื่องดื่มแต่ละตัวจะมีจุดเด่นเฉพาะตัว ในอาการของโรคแต่ละชนิด ที่เหมาะสมหรือควรจะกินร่วมกับเครื่องดื่มตัวไหน เราได้พยายามแยกแยะออกมาให้กินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โรคแต่ละอย่างมีโอกาสดีขึ้นและหายเร็วชัดเจนมากขึ้น
เพราะเราจะได้สารออกฤทธิ์ทางยาที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างชัดเจน ได้ประสิทธิภาพของเครื่องดื่มแต่ละชนิดเข้ามาเสริม
นี่คือ คุณภาพที่ชัดเจนของผลิตภัณฑ์กาโนฯ ที่เราพยายามผสมผสานให้เห็นถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของคนกินที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดที่คาดคิดไม่ถึงกันทีเดียว
คราวนี้ เรามาดูว่า เครื่องดื่มแต่ละตัวของเรามีจุดเด่นตรงไหน?
กาแฟดำคลาสสิค เหมาะสำหรับคอกาแฟจริง ๆ ไม่มีน้ำตาล ไม่มีครีม รสชาติเข้ม ผนวกด้วยหลินจือที่เพิ่มรสชาติอ่อนละมุน ดื่มหลังอาหารเพื่อลดน้ำหนักได้ดีทีเดียว มีคาเฟอีนน้อยกว่า 5%
กาแฟกาโน 3 อิน 1 กลมกล่อมนิ่มนวล อร่อยเหาะ กาแฟอื่น ดื่มมากแล้วกระดูกพรุน แต่กาแฟกาโน ดื่มแล้วช่วยเสริมมวลกระดูกให้แน่นขึ้น แถมเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคตับ เพราะหลินจือน้ำเข้มข้นที่ผสมอยู่ในกาแฟจะช่วยอาการดังกล่าวได้เนี้ยบมาก กาแฟ 3 อิน 1 ของกาโน มีคาเฟอีน ต่ำกว่า 1%
กาแฟมอคค่า ให้ฮอร์โมนที่ดีเยี่ยม เหมาะสำหรับคนวัยทองไม่ว่าหญิงหรือชาย ให้ความสดชื่น ไม่หงุดหงิด ไม่รุ่มร้อน โดยเฉพาะอาการภูมิแพ้ผิวหนังจะเหมาะมาก ถ้ากินคู่กับนมผึ้งละก็ เหมาะสำหรับสาว ๆ ทำให้อึ๋มได้อย่างไม่อายใครทีเดียว มีคาเฟอีน ต่ำว่า 1%
กาแฟสกาโน นอกจากมีทงกัดอาลี (ว่านปลาไหลเผือก) แล้ว ก็มีหลินจือ และโสมผสมด้วย ให้ความกระชุ่มกระชวย ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งสำหรับท่านชาย ช่วยให้หัวใจแข็งแรง คลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด มีคาเฟอีน ต่ำว่า 1%
ช็อกโกแล็ต เครื่องดื่มโกโก้ที่มีความเข้มข้น มีส่วนผสมทั้งดอกหลินจือและรากหลินจิอ บำรุงร่างกาย บำรุงหัวใจ ช่วยให้สดชื่น เหมาะสำหรับคนป่วยที่จะช่วยให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ดอกหลินจือและรากหลินจือในช็อกโกแล็ตกาโนจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัว มีอาการดีขึ้นชัดเจน
ซีเรียลกาโน นอกจากมีส่วนผสมของหลินจือแล้ว ก็มีสกาโน มีสาหร่ายสไปรูรีน่าเสริมเพิ่มเข้ามาอีก ให้การบำรุง ให้สารอาหารที่เพียงพอสำหรับคนป่วยที่กำลังฟื้นตัวได้เยี่ยมมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอีกเช่นเดียวกัน โดยใช้ซีเรียลกาโนผสมกับช็อกโกแล็ตกาโน แล้วดื่มแทนมื้ออาหารทั้ง 3 มื้อได้เลย มีโอกาสช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อีกทางหนึ่ง
ชากาโน เป็นชนิดพิเศษ มีเพียงแห่งเดียวในโลกที่ประเทศอัฟฟริกาใต้เท่านั้น ชาวอัฟฟริกาถือว่าเป็นชาเยี่ยมทุดในโลกที่จะให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนสำหรับผู้ที่กินชาชนิดนี้ ไม่ว่าจะกินแบบเอามาเคี้ยวหรือกินแบบชงเป็นชา นับได้ว่าเป็นชาชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่มีคาเฟอีน และมีสารเทนนินน้อยยิ่งกว่าน้อย จึงไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ท้องผูกเมื่อแช่ในน้ำร้อนนาน ๆ ถ้าเอาซองชากาโนสัก 2-3 ซองแช่ในกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า จะเป็นชาสีทับทิม ดื่มแล้วชื่นใจหายเหนื่อยทีเดียว ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ชากาโนต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมีสาร SOD จำนวนมากมหาศาลทีเดียว ที่เหมาะยิ่งกว่านั้น ใช้ล้างแผลเน่าเปื่อย แผลเรื้อรังได้อย่างดีทีเดียว แต่ชากาโนไม่สามารถผสมหลินจือสกัดร้อนได้ จึงเป็นหลินจือที่สกัดเย็นผสมอยู่ในถุงชา

นี่คือเครื่องดื่มกาโนที่เป็นเครื่องดื่มไม่เหมือนเครื่องดื่มทั่ว ๆ ไปในท้องตลาด แต่บอกเสียก่อนว่า เครื่องดื่มกาโน ไม่ใช่ยา ใช้ได้คือการบรรเทาอาการป่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การรักษา การจะมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ได้ผลก็ต้องกินหลินจือราก และดอก บวกด้วยสมุนไพรสุดยอดของกาโนแบบร่วมด้วยช่วยกันเป็นลักษณะสูตรยาจีน.

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สกาโน-ว่านปลาไหลเผือก แต่ไม่ใช่ว่านปลาไหลเผือกทั้งหมด



                “สกาโน” สำหรับสมาชิกครอบครัวกาโน เป็นที่รู้จักกันดีมานานเป็นสิบปีแล้วว่า “ลดไข้ ลดอักเสบ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็น” เป็นต้น
                แต่ในความเป็นจริงแล้ว สกาโน มีอะไรดี ๆ ที่มากกว่าที่กล่าวมาอีกเยอะทีเดียว แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ ว่านปลาไหลเผือก  เสียก่อนว่า มีดีอะไรมากกว่าที่เรารู้ แล้วคุณจะรู้ถึงคุณค่าอันมหาศาลของ สกาโน ยิ่งขึ้น
                ประเทศในย่านอาเซี่ยน ต่างก็รู้จัก “ว่านปลาไหลเผือก” กันทั้งนั้น เพียงแต่เรียกชื่อแตกต่างกันตามท้องถิ่นของแต่ละประเทศ ชาวบ้านแต่ละท้องถิ่นต่างก็รู้ถึงคุณค่าของ ว่านปลาไหลเผือก กันเป็นอย่างดี ใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาลในการรักษาโรคต่าง ๆ  ได้ผลอย่างดีทีเดียว
                เรามาดูกันว่า ว่านปลาไหลเผือก มีดีอะไร ใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคอะไรบ้าง?
1. ใช้แก้พิษ เป็นพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น พิษจากแมงป่องต่อย ตะขาบกัด พิษจากปลาดุกยัก พิษจากอาหารเป็นพิษ เป็นฝีพุพอง เป็นผดผื่นคัน เป็นต้น
2.  พิษไข้ โดยเฉพาะพิษไข้มาเลเรีย หรือพิษไข้ ตัวร้อน ไข้สูง ไข้ทรพิษ เป็นต้น
3.  อาการปวด โดยเฉพาะปวดกระเพาะอาหาร ปวดลำไส้อักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเส้นเอ็น
4.  เป็นงูสวัด ใช้ทารอบ ๆ แผล หายได้อย่างรวดเร็ว ไม่อักเสบ
5.  สะเก็ดเงิน อันนี้ ทั้งกิน ทั้งทา ช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนได้อย่างดี
6.  รักษาริดสีดวงจมูก และริดสีดวงทวารหนักได้อย่างดี ทั้งกินทั้งทา เพื่อลดอาการอักเสบและรักษาให้หายได้
7.  รักษาอาการจากการกินของแสลง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ไอเรื้อรัง อ่อนเพลีย และแก้อาการเมาค่างได้ดี
8.  ว่านปลาไหลเผือก สำหรับชาวบ้านที่ต้องเดินป่า มักจะพกติดตัว ใช้ในการเดินทาง กินแล้วจะมีความทรหดอดทนได้มากขึ้น แก้อาการอ่อนเพลียได้อย่างดี
9.  ชาวบ้านแต่โบราณทราบกันอย่างดีว่า ว่านปลาไหลเผือก กินแล้วทำให้ระบบหลอดเลือดดี การไหลเวียนแจ่ม ก็เลยทำให้สมรรถนะทางเพศแหล่มอีกต่างหาก
10. อ้างอย่างมีหลักเกณฑ์และผลงานวิจัยว่า ว่านปลาไหลเผือก ต้านมะเร็งปอด ต้านมะเร็งเต้านม  ต้านเชื้อ HIV
ว่านปลาไหลเผือก ชาวมาเลย์และชาวไทยมุสลิมทางไต้เรียกกันว่า “ตงกัตอาลี” หมายถึง ไม้เท้านักรบ หรือ ไม้เท้าผู้เฒ่าอาลี เพราะกินแล้วทำให้ร่างกายแข็งแกร่งดุจนักรบ ทรหดอดทนได้อย่างดี แม้จะแก่เฒ่าก็ยังแข็งแรง  และจากประโยชน์ของทงกัตอาลี ทำให้นักวิจัยชาวมาเลย์ได้ทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยอย่างหนัก จนได้พบสารสกัดที่เป็นประโยชน์ของว่านปลาไหลเผือกมากมายดังเช่น
สารสกัดรสขมของว่านปลาไหลเผือก ได้แก่ Eurycomalactone, Eurycomanol และ Eurycomanone มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อมาเลเรีย
สารสกัดจากว่านปลาไหลเผือก มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งในปอดและมะเร็งเต้านม ต้านเชื่อ HIV
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว นักวิจัยมาเลเซียได้ทำการจดทะเบียนสิทธิบัตรยาของสารสกัดจากว่านปลาไหลเผือกที่สหรัฐฯ ไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วก็ยังได้ทำการจดสิทธิบัตรยาไว้อีกหลายสาขาด้วยกัน เช่น
สารสกัดที่เป็นสารส่วนประกอบของว่านปลาไหลเผือกในการรักษาอาการหัวล้านในเพสชาย (Male pattern baldness) ในปี 2003
ได้จดสิทธิบัตรเป็นยาทาภายนอกในลักษณะ Topical homeopathic Composition (องค์ประกอบชีวจิตเฉพาะ) เป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) และฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth hormone)  ในปี 2003
จดสิทธิบัตรส่วนประกอบและวิธีการในการเพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแรง เพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬา ลดไขมัน อันเป็นการลดน้ำหนักในปี 2006
จดสิทธิบัตรในการเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในรูปของยาเม็ดและแคปซูล โดยมีองค์ประกอบของสารสกัดว่านปลาไหลเผือกร่วมกับสมุนไพรอื่นในปี 2006
จดสิทธิบัตรการปรับระดับฮอร์โมนเพศชาย (Systemic androgen) จากปลาไหลเผือก ในปี 2007
นั่นคือปลาไหลเผือกที่มีการจดทะเบียนสิทธิบัตรที่สหรัฐฯ จากนักวิจัยชาวมาเลย์
แต่สำหรับ สกาโน ของกาโน ที่ผมจั่วหัวไว้ว่า “สกาโน – ว่านปลาไหลเผือก แต่ไม่ใช่ปลาไหลเผือกทั้งหมด”
นี่คือความต่างที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน และไม่มีใครเลียนแบบได้ แม้จะมีหลาย ๆ เจ้าที่พยายามเลียนแบบ โดยคิดว่า เป็นแค่ ปลาไหลเผือก แต่สกาโนของกาโน นอกจากมีส่วนผสมของดอกหลินจือแล้ว ก็มีสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลายชนิดร่วมด้วยช่วยกัน กลายมาเป็นโครงสร้างของ “ยาสมุนไพร” ที่ได้ผลในการรักษาที่ชัดเจน ยิ่งกินร่วมกับหลินจือ ส้มแขก ถั่งเฉ้า นมผึ้ง ก็ยิ่งเห็นผลที่ชัดเจน อย่างที่สมาชิกครอบครัวกาโนได้ประจักษ์ชัดเจนยิ่งแล้ว
แหละนี่คือ
สกาโน – ว่านปลาไหลเผือก แต่ไม่ใช่ปลาไหลเผือกทั้งหมด.

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์อันมหาศาลของ ชากาโน


       พวกเราครอบครัวกาโนรู้ถึงคุณประโยชน์ของ ชากาโน หรือชาเอ็สโอดี. ในการใช้ล้างแผลสด แผลเปื่อย แผลเบาหวาน แผลกดทับกันอย่างดี เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ เหมาะสำหรับคนเป็นเบาหวาน ส่วนใหญ่มักจะรู้เพียงแค่นี้ หรืออาจมากกว่านี้ก็เล็กน้อย

ในความเป็นจริง ชากาโน มีประโยชน์อันมหาศาลที่ครอบครัวกาโนยังไม่รู้ชัดเจนมากนัก ดังนั้น เรามาทำความรู้จักและเข้าใจ ชากาโน ให้มากกว่านี้ แล้วคุณจะรู้ว่า ประโยชน์ของ ชากาโน มีมหาศาล เกินกว่าที่เราเคยคิดกัน
ชากาโน หรือชาเอ็สโอดี.ของกาโน แตกต่างจากชาจีน หรือชาเขียวของญีปุ่น เรามักจะพบว่า หลาย ๆ คนเป็นห่วงและกังวลว่า ดื่มชากาโนมากไปจะทำให้ “ท้องผูก”  ตรงนี้แหละครับที่เป็นจุดเด่นของ ชากาโน ที่เรานำมาจากชาที่เรียกว่า “ชารอยบอส” (Rooibos) ที่มีแห่งเดียวในอัฟริกาใต้เท่านั้น เป็นพืชท้องถิ่นที่คนพื้นเมืองเก่าแก่หลายพันปีใช้เป็น “พืชยา” หรือ “สมุนไพร” มหัศจรรย์ในการรักษาโรคต่าง ๆ เป็นชาที่แทบจะไม่มี “สารแทนนิน” อันเป็นสารที่มีมากในชาจีนหรือชาเขียวที่ทำให้คนดื่มมักมีอาการท้องผูก แต่ในชารอยบอส หรือชากาโนของเรา มีสารชนิดนี้ต่ำมาก จนไม่มีผลทำให้ท้องผูก ชากาโนยังเหมาะสำหรับคนที่โลหิตจาง เนื่องจากไม่มีธาตุเหล็ก แต่เมื่อดื่มชากาโนจะไม่ไปยับยั้งการดูดซึมของธาตุเหล็กในร่างกาย
หญิงตั้งครรภ์มักจะถูกห้ามดื่มชาจีน ชาฝรั่งหรือชาเขียว เพราะสารแทนนินมักจะทำให้ร่างกายพร่องธาตุเหล็ก มีโอกาสทำให้เด็กในท้องเกิดปัญหาเมื่อคลอด รวมถึงเด็กทารกที่ดื่มนมแม่ก็จะพลอยทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กมีปัญหา ทำให้กระดูกและฟันของเด็กทารกมีปัญหาในภายภาคหน้า แต่กับเครื่องดื่มชากาโน หรือชารอยบอส จะไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น
นอกจากนั้น คุณแม่ลูกอ่อน ดื่มชากาโนอย่างไร้ปัญหาที่จะถ่ายเทสารแทนนินหรือคาเฟอีนไปสู่ลูกจากการให้น้ำนมแม่แน่นอน กลับเป็นประโยชน์ให้กับลูกด้วยซ้ำ เพราะในชากาโนประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับลูกน้อยอันเหมาะสมมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นธาตุแคนเซี่ยม แมกนีเซี่ยม โปรแทสเซี่ยม ทองแดง แมงกานีส และ ฟลูออร์ไรด์ ซึ่งจะเข้าไปพัฒนาการกระดูกและฟันของลูกน้อยได้อย่างดี  อีกทั้งเหมาะสำหรับทารกที่เป็นผื่นคันบริเวณที่ผ้าอ้อมรัดจนระคายเคือง ให้ใช้ชากาโนทาบริเวณดังกล่าวจะลดอาการระคายเคืองได้อย่างดี รวมถึงการใช้แก้ไขรักษาอาการผิวหนังอักเสบ หรือเป็นสิวได้อย้างดีทีเดียว
เรามักจะได้ยินได้ฟังมาเยอะว่า อย่าดื่มกาแฟนะ อย่าดื่มชานะ เพราะมีคาเฟอีน ดื่มแล้วจะติด ดื่มแล้วจะทำให้เป็นโน้นเป็นนี่ (ทั้ง ๆ ที่คาเฟอีนก็ใช่ว่าจะมีแต่โทษ มีประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกมากมายเหมือนกัน) ในชากาโน แท้จริงแล้ว เป็นชาที่ “ไร้คาเฟอีน” เหมาะสำหรับท่านที่ไม่อยากดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ชากาโน จึงช่วยให้หลับสบาย ไม่ทำให้ปวดศีรษะ ไม่เครียด และไม่ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า
เช่นเดียวกัน เนื่องมาจากเป็นชาที่มีสารแทนนินต่ำ นอกจากไม่ทำให้ท้องผูกแล้ว ก็เป็นชาที่มีแคลอรี่ต่ำอีกด้วย จึงเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มได้ตลอดทั้งวัน และไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ชากาโน ยังเหมาะกับคนทีมีปัญหาอาหารไม่ย่อย มีอาการคลื่นไส้ อาเจียร แสบร้อนหน้าอก กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ดีอีกด้วย
ในชากาโนยังมีสารเดิมตามธรรมชาติที่ปรับผิวได้อย่างดี จึงได้มีการนำสารจากชารอยบอสไปใช้ในเครื่องสำอาง ดังเช่นสังกะสีและกรดอัลฟาไฮดรอกซี่ หรือกรดผลไม้ในการบำรุงผิวพรรณได้อย่างดี
ที่สำคัญ ชากาโนหรือชารอยบอสมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระตัวการที่ทำให้เป็นมะเร็ง อย่างน้อยถึง 2 ชนิด
ชนิดแรกคือ SOD (ซูเปอร์ออกไซด์ดีมูลเทสต์) ที่มีมากกว่าในร่างกายมนุษย์ทั่วไปถึง 50 เท่า แล้วก็มีตัวต่อต้านอนุมูลอิสระอีกตัวที่เรียกว่า โพลิฟินอล สารต่อต้านอุมูลอิสระทั้งสองตัวช่วยกันลดสารอนุมูลอิสระในร่างกายให้น้อยลง เท่ากับเป็นการต่อต้านการเกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น มะเร็ง การอุดตันในเส้นเลือด อีกทั้งช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณ ก็เท่ากับลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ปรับให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส เรียกว่า ชะลอความแก่ได้อย่างดีทีเดียว.


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

ถั่งเฉ้า มีประสิทธิภาพไม่ได้ด้อยกว่า หลินจือ



                น่าเชื่อได้ว่า หลาย ๆ ท่าน มีความเชื่อมั่นต่อประเสิทธิภาพของ “ถั่งเฉ้า” ในขณะที่อีกเยอะแยะที่ยังข้องใจ ยังสงสัย “ถั่งเฉ้า” มีประสิทธิภาพจริงหรือ? เทียบได้กับ “หลินจือ” หรือไม่?
        เรามาทำความรู้จัก “ถั่งเฉ้า” ให้ชัดเจนมากขึ้น ที่มาและที่ไปของถังเฉ้า มาจากไหน? คนจีนรู้จักได้ดีขนาดไหน?
        แต่ดั่งแต่เดิม คนทิเบตและคนเนปาลรู้จักถั่งเฉ้าก่อน คนทิเบตเรียกว่า “yartsa gumbu” (ยาร์ตซา กูมบู) ส่วนคนเนปาลเรียกว่า “yarsha gumbu” (ยาร์ซา กูมบู) ยาวิเศษแห่งยอดขุนเขา เพราะต้องไปเสาะแสวงหาจากยอดดอยสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,500 เมตรขึ้นไป ต้องค่อย ๆ คลานหาจากบนพื้นอย่างยากลำบาก ราคาจึงแพงมหาศาล ซี่งนอกจากใช้บำรุงร่างกาย รักษาอาการโรคต่าง ๆ แล้ว ที่ฮืออาอื้ออึงที่สุดเห็นจะเป็น ราชาแห่งการเสริมสมรรถนะทางเพศนั่นเอง
        ในคัมภีร์สมุนไพร โดยเฉพาะของหมอจีนชื่อดัง หลี่สือเจิน ใน “เปิ๋นเฉ่ากังมู” (สารานุกรมสมุนไพร) เมื่อประมาณ 1000 ปีก่อน ได้มีการบันทึกสมุนไพรนี้ในชื่อ “ตงฉงเซี่ยเฉ่า” (สำเนียงภาษาจีนกลาง ส่วน “ถั่งเฉ้า” เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว)  หมายถึง “หนาวหนอนร้อนหญ้า” เพราะหน้าหนาวจะเป็นหนอนดักแด้ พอหน้าร้อนจะเป็นสมุนไพรประเภทเชื้อรางอกขึ้นมาบนหัวของตัวหนอนดักแด้ที่ตายแล้ว และเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า “ฉงเฉ่า” (หญ้าหนอน) เพียงกล่าวอ้างถึงเล็กน้อยเท่านั้นว่า “ยาอุ่น ไร้พิษ บำรุงรักษาเสริมประสิทธิภาพเลือดลม” ไม่ได้มีการอธิบายมากมายอะไรนัก กระทั่งมาถึงหมอจีนในสมัยราชวงศ์ชิงชื่อ อู๋อี้ลั่ว ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรของท่านที่ชื่อว่า “เปิ๋นเฉ่าฉงซิน” (สมุนไพรบันทึกใหม่) ได้มีการกล่าวถึง ฉงเฉ้า ค่อนข้างเยอะและพูดถึงประสิทธิภาพที่ค่อนข้างชัดเจนมากขึ้นว่า
        “รสกลมกล้อม อุ่น บำรุงร่างกาย บำรุงปอด ไต ลดอักเสบ หยุดอาการไอ และไอเรื้อรัง บำรุงร่างกายหลังคลอด บำรุงสมรรถนะทางเพศ”
        จากการศึกษาและงานวิจัยได้พบถึงประสิทธิภาพของถั่งเฉ้าในการรักษาอย่างน้อยที่สุด 10 ประการ อันได้แก่
1.    ค่อต้านเชื้อแบตทีเรีย
2.    ปรับเสริมภูมิต้านทาน
3.    ต่อต้านมะเร็ง
4.    ต่อต้านอาการอักเสบ
5.    บำรุงไต
6.    เสริมบำรุงต่อมหมวกไต
7.    บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ
8.    ขจัดอาการอ่อนเพลีย
9.    บำรุงปอด ระงับอาการไอ
10. จิตนิ่ง หลับสบาย

จากจุดเด่น 10 ประการดังกล่าว ถ้าหากค้นคว้าต่อไปจะมีการรักษาปลีกย่อยที่เสมือนหนึ่งเป็นยาที่รักษาอาการต่าง ๆ อีกเยอะแยะมาก เช่น ลดโคเสลเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์ รักษาอาการเกี่ยวกับระบบหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ รักษาอาการไม่ปรกติของตับและลดน้ำตาลในเลือด เท่ากับรักษาเบาหวาน โดยเฉพาะในงานวิจัยของหน่วยงานหมอไทยได้ยอมรับที่ชัดเจนว่า ถ้าหากใช้ ถั่งเฉ้า ควบคู่กับ หลินจือ ในการรักษามะเร็งและเบาหวานได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เรามาดูว่า ใน ถั่งเฉ้า ประกอบด้วยสารสำคัญอะไรบ้าง?
Cordycepic Acid   กรดเฉพาะตัวของถั่งเฉ้า ที่เพิ่มประสิทธิภาพของเมทาโบริซึมคือการเผาผลาญสารอาหาร จึงทำให้ร่างกายแข็งแรง คนป่วยจะฟื้นคัวได้รวดเร็ว ไม่เหนื่อยง่าย (เหมาะกับการใช้บำรุงนักกีฬาอย่างยิ่ง) ป้องกันเลือดออกในสมอง ละลายลิ่มเลือด ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และรักษาอาการหอบหืด
Cordycepin  เป็นสารเฉพาะตัวของถั่งเฉ้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนของเลือด ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เสริมสร้างภูมิต้านทาน
Cordycep sterol  สารสเตียรอลธรรมชาติเฉพาะตัวของถั่งเฉ้า (ไม่ใช่สเตียรอลสังเคราะห์ จึงไม่เป็นอันตราย มีแต่ประโยชน์) รักษาและป้องกันอาการอักเสบ โดยเฉพาะรักษาอาการอักเสบไต ป้องกันโรคหอบหืด เพิ่มประสิทธิภาพของการบีบตัวของหัวใจ หมายถึงเสริมประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อหัวใจ และรักษาโรค sle
Adenosine  ต้านการแข็งตัวของเลือด นั่นคือสลายลิ่มเลือด หรือต้านการเป็นลิ่มเลือด
Polysaccharides สร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด ลดโคเลสเตอรอล ลดไตรกลีเซอไรด์
จากสารสำคัญดังกล่าว  ก็จะให้เรารู้ได้ว่า ถั่งเฉ้า สามารถรักษาโรคเรื้อรังอะไรได้ชัดเจนมากขึ้น ที่สำคัญ ถั่งเฉ้าเหมือนหลินจือที่กินมากขนาดไหนก็ได้ นานแค่ไหนก็ตาม จะไม่มีพิษ ไม่มีภัย ไม่มีการสะสม ไม่มีสารตกค้างในร่างกายเราแน่นอน ทุกประการจะใช่ประโยชน์ในร่างกายเราอย่างเต็มที่และใช้จนหมดในแต่ละโดส.

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

เอ็นจี NG (Noble Garden)


เอ็นจี NG (Noble Garden)

เหมาะสำหรับการล้างลำไส้



            เราทราบดีแล้วว่า ในลำไส้ของเราประกอบด้วยขยะตกค้างประมาณ 6-10 กก. และถ้าเราสามารถกำจัดขยะเหล่านี้ออกจากลำไส้ได้ ย่อมทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงขึ้น ทำให้เราเป็นคนสวยและหล่อได้ ปัญหาเหล่านี้ ผลิตภัณฑ์ เอ็นจี (NG) ช่วยได้ชัดเจน
        มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรที่ประกอบกันขึ้นเป็น เอ็นจี.นี้ ได้แก่


1.   โกฐน้ำเต้า  มีสรรพคุณในการระบาย ขับของเสียที่ตกค้างในกระเพาะอาหารและลำไส้ หยางของระบบม้ามไม่เพียงพอ มีของเสียและความเย็นตกค้าง ทำให้ท้องผูก แก้อาการท้องผูกจากภาวะร้อนใน ขับพิษร้อนในระบบเลือด เช่น อาเจียนเป็นเลือด เลือดกำเดา ตาแดง คอบวม เหงือกบวม ขับแผลฝี หนอง ช่วยการไหลเวียนของเลือด แก้ไขประจำเดือนไม่มาเนื่องจากเลือดคั่ง แก้อาการฟกช้ำดำเขียว ช้ำใน เลือดคั่ง เป็นต้น


2.   โกฐเขมาขาว  มีสรรพคุณ บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้ไขกระเพาะไม่ย่อย ขับปัสสาวะ แก้ไขอาการบิดเรื้อรัง บำรุงพลังชี่ เป็นการขจัดความชื้น เหมาะสำหรับคนที่มีระบบทางเดินอาหารไม่มีพลัง และถ่ายเหลวมานาน แก้ไขอาการแขนขาไม่มีเรี่ยวแรง และอาการบวมน้ำได้ดี


3.   ใบมะขามแขก มีสรรพคุณในการขับความร้อน ดังนั้นจึงช่วยให้การขับถ่ายไม่ว่าจะเป็นอุจจาระหรือปัสสาวะคล่องตัวขึ้น ไม่ติดขัด ออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ให้ถ่ายท้องได้ดีขึ้น ลดอาการบวมน้ำ แก้อาการปวดหลัง


4.   ว่านหางจระเข้  มีสรรพคุณช่วยระบบกระเพาะในการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยให้ระบบการขับถ่ายมีประสิทธิภาพและสะดวกขึ้น เท่ากับเป็นยาระบายอ่อน ๆ


5.   เปลือกส้มขม  มีสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร กระตุ้นให้เกิดความอยากในอาหาร ทำให้ระบบการย่อยดี ไม่มีปัญหาในระบบขับถ่าย ช่วยคนที่มีภาวะเลือดจางได้ดี มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบ ต่อต้านเนื้องอก ช่วยระบบการไหลเวียนให้ดีขึ้น จึงทำให่ลดความดันโลหิตได้อีกด้วย


6.   รากชะเอมเทศ  มีสรรพคุณในการขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ แก้อาการน้ำลายเหนียว แก้ไอ ขับลม ขับเลือดเสีย รักษาปากมดลูกอักเสบ รักษาอาการปัสสาวะผิดปรกติ รักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ รักษาอาการผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นคัน รักษาลำไส้บีบตัวผิดปรกติซ้อนกันเป็นก้อน และบำรุงร่างกาย

นอกจากนั้นยังมีสมุนไพรอีกหลายตัวประกอบขึ้นเป็นยาล้างลำไส้ได้อย่างดี ดังนั้น เอ็นจี.จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ท้องผูก กินแล้วเป็นการล้างลำไส้ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น สำหรับผู้ที่ต้องการดีท็อกซ์ลำไส้ ก็สามารถกินได้ ทำให้ลำไส้โล่ง เมื่อลำไส้โล่ง ระบบขับถ่ายก็จะดีขึ้น ระบบการย่อยก็ดีเป็นเงาตามตัว นอกจากสุขภาพร่างกายแข็แรงขึ้นแล้ว สำหรับสาว ๆ แล้วละก็ น้ำหนักลดโดยปริยาย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ความสวยความงามก็ตามมาเป็นผลพลอยได่
อีกประเภทหนึ่งก็คือ คนที่ทานหลินจือแล้ว มีปัญหาท้องผูก อันเนื่องมาจากหลินจือบอกให้เรารู้ว่า ระบบลำไส้มีปัญหา จึงเกิดอาการท้องผูก เอ็นจี.จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างดี
วิธีการรับประทาน
ง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองมากนัก ให้ทานเอ็นจี.ก่อนนอนประมาณ 1 ชม. ครั้งละประมาณ 2 – 4 แค็ปซูล ขึ้นกับอาการท้องผูกหนักหนาสาหัสมากน้อยเพียงใด อาจจำเป็นต้องทานติดต่อกันวันสองวันหรืออย่างมากไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ เมื่อขับถ่ายหรือประสงค์ล้างลำไส้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกินอีกต่อไป จนกว่ามีอาการท้องผูกอีกเมื่อไหร่ ก็กินตอนนั้น หลังจากกิน เอ็นจี.ประมาณ 8-12 ชั่วโมง ก็จะได้เวลาเข้าห้องสุขา บางคนอาจถ่ายออกมาไม่ถึงกับแข็ง มีลักษณะอ่อนนิ่ม แต่บางคนอาจถ่ายเหลว หรือบางคนอาจถ่ายเป็นน้ำ
ข้อควรระวัง  สำหรับคุณสุภาพสตรี วันมีประจำเดือนไม่ควรรับประทาน หรือสตรีที่กำลังท้องก็ไม่ควรรับประทาน เด็กก็ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน ถ้าหากไม่จำเป็นจริง ๆ 

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ประสิทธิภาพของถั่งเฉ้า


        สมาชิกครอบครัวกาโน เชื่อว่าส่วนใหญ่พอจะรู้ประสิทธิภาพของถั่งเฉ้าไม่มากก็น้อยมาแล้ว และเพื่อจะได้เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น เรามาศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ทางยาของ ถั่งเฉ้า ว่ามีอะไรบ้าง?

        โดยรสชาติของถั่งเฉ้า หวานและอุ่น ซึ่งมีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเราเยอะแยะมาก เช่น โปรตีน ไฟเบอร์ นิวคลีโอไซด์ (สารประกอบที่จะแปรเปลี่ยนเป็นนิวคลีโอไทด์ เพื่อเสริมบำรุง ดีเอ็นเอ.อาร์เอ็นเอ.ในการเสริมช่วยการเจริญเติบโตของร่างกายคนเรา) โพลีแซคคาไรด์ กรดคอร์ดิเซพปินกับคอร์ดิเซพสเตอรอล (สารประกอบเฉพาะตัวของถั่งเฉ้า) น้ำตาล ไขมัน (เป็นไขมันสูงถึง 82.2% ที่เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว และกรดไขมัน) มีกรดอะมิโนถึง 18 ชนิด  ดี-แมนนิทอล วิตามิน บี.12 ไนอาซิน รวมถึงเกลือแร่อีกจำนวนมาก เช่น สังกะสี ทองแดง โครเมี่ยม แมงกานีส ที่เป็นเกลือแร่ที่มีปริมาณจำนวนมาก
        เพราะฉะนั้น ถั่งเฉ้า จึงเป็นตัวบำรุงที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะการบำรุงปอด เสริมสุขภาพไต สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถนะทางเพศ เชื้ออสุจิอ่อนแอ ปวดเข่า ปวดเอว หูอื้อ และนอนไม่หลับ นอกจากนั้น ห้ามเลือด ลดเสมหะแก้อาการไอ หอบ อาเจียน เป็นต้น
        ที่กล่าวมา ล้วนเป็นการบันทึกถึงประโยชน์ของถั่งเฉ้าในตำราสมุนไพรจีนแต่โบราณและเป็นที่ยอมรับของหมอจีนในปัจจุบัน
        คราวนี้ เรามาแยกแยะให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เรารู้กันในปัจจุบันว่า ถั่งเฉ้า รักษอาการใดของเราได้บ้าง
1.    บำรุงปอดและปรับระบบทางเดินหายใจ
2.    ผ่อนคลายอาการเครียดและการตึงตัวของผนังหลอดเลือด
3.    ป้องกันเป็นภูมิแพ้
4.    เพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ มีพลังการต่อต้านที่ดี ไม่เหนื่อยง่าย
5.    เสริมเพิ่มออกซิเจนให้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนที่ดียิ่งขึ้น
6.    เสริมบำรุงไตให้แข็งแรง
7.    บรรเทาอาการปวดเอว ปวดหัวเข่า
8.    เสริมบำรุงสมรรถนะทางเพศ
9.    เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรงขึ้น
10. ลดน้ำตาลในหลอดเลือด
11. ลดคอเลสเตอรรอลตัวไม่ดี (LDL) เสริมเพิ่มคอเลสเตอรอลตัวดี (HDL)
12. บำรุงตับให้แข็งแรง
13. ชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ