วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กินหลินจือก่อนนอน นั่นแหละ—อายุวัฒนะ...ชะลอความแก่ คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว

      เห็นหัวข้อแล้ว สมาชิกครอบครัวกาโนหลายท่านอาจข้องใจ?

        ไหนบอกว่า กินหลินจือแล้วต้องเดินหมื่นก้าว อันหมายถึงต้องมีการเคลื่อนไหว หลินจือถึงจะออกฤทธิ์ได้ดี???
        แล้วนี่กลับให้กินก่อนนอน โดยเฉพาะคู่มือการกินเล่มใหม่ มีการกินก่อนนอนกันทุกสูตร
        ไม่ว่า กินหลินจือในเวลา เช้า – กลางวัน – เย็น หรือ ก่อนนอน ต่างก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันในระหว่างการกินกลางวัน กับ การกินกลางคืน (ก่อนนอน)
        ในการกินกลางวัน ร่างกายเราจะเคลื่อนไหวอยู่เสมอ เป็นการกระตุ้นให้หลินจือทำงานรวดเร็วขึ้น รักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้ดีและได้ผลมากขึ้น เพราะการซึมซับจะรวดเร็ว ทำให้การรักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้ผลชัดเจนมากขึ้น
        ผมจะไม่เขียนให้เสียเวลาตรงนี้เกี่ยวกับการรักษาจากการกินตอนกลางวัน
        แต่ผมต้องการเน้นชุดที่กินก่อนนอนเป็นสำคัญ
        โดยปรกติ ร่างกายเราจะหลั่งสารฮอร์โมนที่สำคัญอยู่ 3 ตัว (ความจริงมีหลายตัว แต่ผมจะเขียนถึงสามตัว)
        ตอนกลางวัน ภายในร่างกายจะทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นการทำงานที่ค่อนข้างหนัก ตลอดชั่วชีวิตของแต่ละคนไม่เคยหยุด อายุยิ่งมาก ความเสื่อมของอวัยวะภายในก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และความเสื่อมจะยิ่งมาก ยิ่งหนัก ถ้าเจ้าของร่างกายไม่ดูแล ไม่ซ่อมบำรุงใด ๆ เลย
        อวัยวะภายในของเรา จึงทรหดอดทนใช้งานได้มากมายมหาศาลตลอดชั่วชีวิตของเรา จนกว่าเสื่อมโทรม หมดหนทางที่จะซ่อมแซมอีกต่อไป ก็คือกาลอวสานของร่างกาย จากไปพร้อมวิญญาณ
        ร่างกายของเรา “ไม่เคยหลับ” อย่างแท้จริง เพราะถ้าหลับนิ่งไม่ทำงานเลย ก็หมายถึง “ตาย”
        เพียงแต่ตอนที่เราหลับ อวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายจะทำงานน้อยลง หลาย ๆ ระบบจะทำการพักผ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าหยุดการทำงาน เพียงแต่ทำงานเบาลง น้อยลง ในระหว่างนี้แหละ หลาย ๆ ระบบของร่างกายจะเริ่มทำการซ่อมแซม ฟื้นฟู สิ่งที่สูญเสียไปในตอนกลางวันให้กลับมาแข็งแรงทำงานตามปรกติให้มากที่สุด เพื่อใช้ชีวิตและการดำรงชีวิตอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมอสมัยใหม่จึงได้ทำการศึกษาและตรวจสอบหรือรักษาอาการป่วยคนเราเมื่อตอนหลับ ซึ่งระบบการตรวจสอบร่างกายตอนหลับที่เรียกว่า “สลิปปิ้ง มอนิเตอร์”
        อวัยวะบางส่วนที่ทำงานค่อนข้างจะหนัก ทั้งกลางวันและกลางคืน และที่จะกล่าวถึง ได้แก่ “ตับ”  ที่ต้องรับสารอาหารที่เรากินเข้าไป ทำการเปลี่ยนแปลงทางเคมี สารอาหารที่ดีก็จะส่งไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กากหรือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ก็จะถูกส่งไปในลำไส้ใหญ่ เพื่อรอการกำจัดทิ้งโดยถ่ายเป็นอุจจาระออกไปจากร่างกาย ต้องคอยดูแลระบบเลือดให้ดีอยู่เสมอ หมอจีนถึงได้บอกว่า “ตับเป็นคลังแห่งเลือด”
        แต่พอตกกลางคืน ระบบส่วนใหญ่จะเริ่มพักผ่อนและทำงานน้อยลง แต่ตับกลับต้องทำงานอีกต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปลี่ยนแปลงสารอาหารต่าง ๆ ที่เรากินเข้าไปในตอนเย็นให้เป็นรูปแบบอื่น นำไปเก็บไว้ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างเช่น คาร์โบไฮเดรสที่กินเข้าไปในตอนกลางวันจะแปลงเป็นพลังงานไปใช้งานในร่างกาย แต่พอเป็นมื้อเย็น เมื่อตกกลางคืนร่างกายไม่ได้ใช้เป็นพลังงานมากนัก ก็จะเหลือมาก ตับก็จะแปลงให้เป็นแป้งแล้วแปลงต่อไปเป็นไขมันจากอาหารต่าง ๆ แล้วส่งไปเก็บไว้ในที่ต่าง ๆ ของร่างกาย (สมัยนี้มีการรณรงค์ไม่ควรกินมื้อเย็นหรือมื้อค่ำหนัก และควรจะออกกำลังกายตอนเย็นหรือค่ำเป็นดีกว่าตอนเช้า เพื่อไม่ให้ตับต้องทำงานหนัก)  ถ้าตับทำงานหนัก จะทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายและน้ำหนักเพิ่มได้รวดเร็วอีกด้วย โดยเฉพาะหมอจีนมักจะเตือนเรื่อง “ตับอั้นชี่” คือระบบการไหลเวียนของพลังลมปราณของตับไม่สะดวก ถูกอั้นเอาไว้ ไม่สามารถไหลเวียนได้คล่องออกจากตับ แล้วก็มีผลกระทบไปถึงอวัยวะส่วนอื่น ๆ ให้รวนไปทั้งระบบ
        ผลกระทบที่นอกจากอาการเจ็บป่วยแล้ว อาการผิวหนังเหี่ยวย่นก็เป็นผลตามมาให้เห็นอย่างชัดเจน เรามักจะเห็นได้ชัดตอนเวลาเราป่วย หรือใครก็ตามที่ป่วยหนัก ดูแล้วทำไมถึง “แก่จัง” ทำนองนั้น ก็เป็นผลมาจากตับนี่แหละ
        ในขณะเดียวกัน เมื่อร่างกายมีปัญหา การหลั่งของฮอร์โมนสามตัวก็จะเกิดปัญหาขึ้น ได้แก่สารเอนโดร์ฟินส์ (Endorphins)  หรือที่เรียกกันว่า “สารแห่งความสุข” โดยสารตัวนี้ จะหลั่งเมื่อเรามีความสุข เมื่อเราออกกำลังกายอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ตอนเราหัวเราะตอนเรามีความสุข ตอนเราอารมณ์เบิกบาน และหรือตอนเราหลับลึก แต่เมื่อร่างกายทำงานโอเว่อร์โหลด เครียด โกรธ ซึมเศร้า ทุกข์หนัก การหลั่งของสารนี้ก็ลดลง แต่จะกลายเป็นการหลั่งของสารอะดรีนาลีน (Adrenaline) แทน ซึ่งเราเรียกว่า สารแห่งความทุกข์ สารแห่งความเครียด สารแห่งความอึดอัด ยิ่งไปกว่านั้น สารอีกตัวก็จะลดน้อยโอกาสในการหลั่ง ซึ่งเป็นสารที่จะหลั่งมากในตอนเป็นเด็ก ตอนเป็นวัยรุ่นก็ยังมีมากอยู่ แต่วัยทำงานเริ่มน้อยแล้ว อายุหลัง 40 ก็ยิ่งน้อยกว่า และ 50 ขึ้นก็ยิ่งน้อยมาก ๆ เอาเป็นว่า อายุยิ่งมาก การหลั่งของสารตัวดังกล่าวก็ยิ่งน้อยลง
        นั่นเป็นสารที่ถ้าขาดมันแล้วเราจะรู้สึก ทำให้เรา “แก่เร็ว” คือสาร “โกร๊ธฮอร์โมน” (Gowth Hormone) ที่หลั่งได้มากในตอนเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ในวัยหลัง 40-60 ไปแล้ว ร่างกายจะหลั่งสารนี้ได้น้อยลงอย่างมาก อายุยิ่งมากก็ยิ่งน้อย จึงจำเป็นต้องอาศัย การออกกำลังกายอย่างเต็มที่ หรือไม่ก็ “หลับลึก” “หลับสนิท” สารแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือสารแห่งการเจริญเติบโตนี้ถึงจะหลั่งได้ดีขึ้นบ้าง
          สารอีกตัวที่สำคัญ คือ เมลาโทนิน (Melatonin) ที่เรามักเรียกกันว่า นาฬิกาชีวภาพ เป็นสารที่ให้เรารู้ว่า กลางวัน กลางคืน รู้ว่า เช้า เที่ยง สาย บ่าย เย็น และที่สำคัญ สารตัวนี้คือสารที่ทำให้เราสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่สารตัวนี้จะหลั่งเต็มที่ตอนประมาณเที่ยงคืนตอนที่เรา “หลับสนิท” (ถ้าไม่หลับ ก็ไม่หลั่ง หลับไม่สนิทก็ไม่หลั่ง) แล้วจะลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเช้า เมื่อสารตัวนี้หลั่ง ทำให้เรากระปรี้กระเปร่า และคือที่มาของความสำคัญทำให้เกิดการชะลอความแก่
        เมื่อเรากินหลินจือและสูตรยากาโนในชุดก่อนนอน จะเข้าไปช่วยการทำงานของตับ ทำให้ตับไม่ต้องทำงานหนักขึ้น ช่วยเร่งการเผาผลาญสารอาหารไม่ให้ตกค้างในตับมากเกินไป จึงทำให้ตับทำงานน้อยลง ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันเมื่อเราได้หลับสนิท หลับลึก ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนสามตัวที่กล่าวไว้คือ เอนโดร์ฟินส์ โกร๊ธฮอร์โมนและเมลาโทนิน
        เมื่อสารแห่งความสุขได้หลั่ง ทำให้เกิดอารมณ์อันสุนทรี มีความสุข จิตใจโล่งสบาย สีหน้า ใบหน้าก็จะสดชื่น เมื่อมีความสดชื่น ทุกอย่างก็เลยสดใส มีน้ำมีนวล ทำให้ดูเหมือนเป็นหนุ่มเป็นสาว
        การหลั่งของสาร โกร๊ธฮอร์โมน สารที่คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ทำให้ดูอ่อนวัย เหมือนเป็นหนุ่มเป็นสาวมากขึ้น อ่อนวัยกว่าอายุจริง
          เมื่อมีสารแห่งความสุข การหลับลึกก็ย่อมทำให้เกิดการหลั่งของสารเมลาโทนิน (แต่ต้องหมายถึงนอนก่อนเที่ยงคืน) มีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกายที่ทำให้ชะลอความแก่ คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว
        หลินจือ ไม่ใช่เพียงแค่ปรับระบบในร่างกายให้หลับง่ายขึ้น หลับลึกขึ้น ทำให้ร่างกายมีการหลั่งของสารสำคัญดังกล่าวให้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยตัวของหลินจือเอง ก็มีสารที่จะเข้าไปฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ให้มีความแข็งแรง มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น เมื่ออวัยวะภายในทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมแน่ชัดที่ทำให้การชะลอความแก่ได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนั้น หลินจือมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรง สร้างเซลล์ผิวใหม่ที่มีความสดใส มีน้ำมีนวล ก็ยิ่งทำให้ดูอ่อนกว่าวัยเพิ่มมากขึ้น
        นี่แหละ ถึงบอกว่า กินหลินจือก่อนนอน ย่อมทำให้….

        มีอายุวัฒนะ ชะลอความแก่ คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาว!!!