วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ชีวิตไม่เฉา เมื่อกินถั่งเฉ้า (Cordyceps)




เมื่อเอ่ยถึง ถั่งเฉ้า หลาย ๆ คน อาจเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นหูคุ้นตานัก
ถั่งเฉ้า เป็นการออกเสียงสำเนียงจีนแต้จิ๋ว ส่วนคำจีนกลางคือ ฉงเฉ่า เป็นคำย่อ โดยมาจากคำเต็ม (จีนกลาง) ตงฉงเซี่ยเฉ่า ซึ่งคำว่า ตงฉง หมายถึง หนอนในหน้าหนาว ส่วนคำว่า เซี่ยเฉ่า หมายถึง หญ้าในหน้าร้อน เพราะฉะนั้น จากคำศัพท์ดังว่า คงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่รวมแล้วคือ หนาวหนอนร้อนหญ้า
ดังนั้น ถั่งเฉ้า จึงเป็นสมุนไพรจีนที่พิสดารยิ่งนัก เพราะตอนที่อยู่ในหน้าหนาว มันจะเป็นลักษณะเหมือน หนอน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เป็นตัว ดักแด้ ชนิดหนึ่ง แต่พอถึงหน้าร้อน มันกลับกลายเป็น หญ้า ชนิดหนึ่ง ซึ่งพื้นฐานจริง ๆ ก็คือ เป็น เชื้อรา ชนิดหนึ่ง (เหมือนหลินจือก็คือเชื้อราขนาดใหญ่)
นี่คือความแปลกพิสดารของ ถั่งเฉ้า เพราะ ลำตัวดักแด้ที่เหลือแต่เปลือก ตรงส่วนหัวจะเป็นหญ้าที่งอกยาวออกมาและแห้ง ดังนั้น จึงมีหญ้ากับเปลือกดักแด้ติดยาวออกมาเป็นสีน้ำตาล
ถั่งเฉ้า จะเกิดได้บนภูเขาสูง ซึ่งจะต้องสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 3,500 ม.-5,000 ม. ถ้ายิ่งสูง ก็จะพบมากขึ้น คุณภาพก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงพบแหล่งที่มาของ ถั่งเฉ้า ในประเทศจีนดินแดนดังต่อไปนี้ ทิเบต เสฉวน ยุนนาน ชิงไห่ กานซู กุ้ยโจว เป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญและมากที่สุด
เพราะต้องค้นหาจากภูเขาสูงชันและค้นหาลำบากยากยิ่ง โดยชาวบ้านเป็นคนทิเบตจะยกขบวนกันไปพร้อม ๆ กัน แล้วคลานไปตามทางลาดชันของขุนเขา เพื่อค้นหา ถั่งเฉ้าที่ฝังอยู่ใต้ดิน โดยโผล่แต่ส่วนที่เป็นยอดหญ้าเหนือพื้นดินเล็กน้อย จึงต้องมีความชำนาญในการดูทีเดียว รวมทั้งชำนาญในการขุดอีกด้วย ไม่งั้นจะทำให้ถั่งเฉ้าที่ขุดขึ้นมาเสียหายได้ ราคาจึงแพงมาก กล่าวกันว่า ราคาตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสนและหลาย ๆ แสนต่อน้ำหนัก 1 ชั่ง (1 ชั่ง แค่ 6 ขีดหรือ 600 กรัม) อยู่ที่คุณภาพเป็นสำคัญ
จากหนังสือตำราแพทย์แผนจีนโบราณหรือตำหรับยาจีนที่กล่าวถึง ถั่งเฉ้า ว่า เกี่ยวกับสายพันธุ์ของ ถั่งเฉ้า มีกว่า 400 ชนิดที่แตกต่างกัน คุณภาพก็จะแตกต่างกันไปด้วย
แต่ที่สำคัญ ถั่งเฉ้า ที่มีคุณภาพจริง ๆ มีคุณภาพเต็มร้อยตามที่บันทึกไว้ มีประมาณ 10 กว่าชนิดเท่านั้น
ส่วนสรรพคุณของ ถั่งเฉ้า ที่บันทึกไว้ในตำราแพทย์แผนจีน ตลอดจนตำรับตำรายาต่าง ๆ ของทิเบต กล่าวไว้อย่างชัดเจนและใกล้เคียงกันคือ
ถั่งเฉ้า จะปกป้องปอด บำรุงไต ห้ามเลือด แก้อักเสบ มีประสิทธิภาพในการแก้ไอแห้ง บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงเชื้อ (อสุจิ) ให้แข็งแรง ปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ปรับธาตุ บำรุงเลือด แก้พิษ และเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ
จากงานค้นคว้าของจีนยุคใหม่ ได้เน้นถึงสิ่งที่ตำรับตำราจีนกล่าวอ้างถึงมาทำการวิจัยต่อยอด จนได้พบความจริงถึงคุณภาพของ ถั่งเฉ้า ที่ชัดเจนว่า
ถั่งเฉ้า ช่วยรักษาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้อากาศ เป็นต้น นั่นก็หมายความว่า ถั่งเฉ้า สามารถรักษาโรคเรื้อรังเกี่ยวกับปอดได้ดีเช่นเดียวกัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจให้แข็งแรงขึ้น ปรับความสมดุลของภูมิต้านทาน ฟื้นฟูระบบการทำงานของไตและหยุดการลุกลามของโรคไตไม่ให้ร้ายแรงลงไปอีก ปรับความสมดุลในระบบการทำงานของหลอดเลือด ซึ่งก็ช่วยลดความดันโลหิตสูงให้ลดลง พร้อมกับทำการขับพิษออกจากระบบหลอดเลือด ดังนั้น เมื่อระบบหลอดเลือดมีการไหลเวียนที่ดี ย่อมหมายความว่า ชีวิตชีวานี้จะเกิดความคึกคัก คึกคะนองนั่นเอง
และก็มีการค้นพบเช่นเดียวกันว่า ถั่งเฉ้า สามารถต่อต้านการลุกลามของเนื้องอก ตลอดจนมะเร็งได้อีกด้วย
แนะนำถึงประสิทธิภาพประสิทธิผลของ ถั่งเฉ้า เพียงแค่นี้ก่อน ไว้คราวหน้าจะมีรายละเอียดอีกหลายด้านเพิ่มเติม ตลอดจนลักษณะความเป็นแก่นแท้ที่มาที่ไปในกระบวนการเกิดของ ถั่งเฉ้า ที่คาดคิดไม่ถึง


ในอดีตนั้น ต้องนำ ถั่งเฉ้า มาต้มกับเครื่องในหมู ตุ๋นกับไก่ และอีกหลากหลายตำรับอาหารที่เป็นยา รวมทั้งการเจียดร่วมกับยาสมุนไพรอื่น ๆ แต่สำหรับวันนี้ คุณไม่ต้องยุ่งยากอีกต่อไปแล้ว เพราะ กาโนฯ ได้มอบความสมบูรณ์และประสิทธิภาพประสิทธิผลของ ถั่งเฉ้า ในรูปแบบแค็ปซูลที่กินง่าย แต่มีฤทธิ์ทางยาสุดยอดไร้เทียมทานกันทีเดียว
และบางคน เมื่อกินแล้วจะมีอาการ ร้อนใน ไม่ต้องตกใจนะครับ ให้ดื่มน้ำเพิ่ม หรือกินอาหารประเภทให้ความเย็นเป็นหลักสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายปรับให้เข้ากันแล้วคุณจะรู้ถึง สุดยอดแห่งคุณภาพ
เพราะฉะนั้น
ชีวิตไม่เฉา มีแต่คึกคัก เมื่อกิน ถั่งเฉ้า

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กินหลินจือแล้วทำไมไม่ได้ผล? (2)


            การกินหลินจือ สกาโน ส้มแขก ถั่งเฉ้า และ นมผึ้ง รวมไปถึงเครื่องดื่มผสมหลินจือ ได้ผลหรือไม่ได้ผล อย่างที่บอกเล่าไปแล้ว
        คราวนี้ มาถึงประเด็นที่มีอีกหลายคน ได้กินตามสูตรที่ผู้แนะนำบอกไปอย่างถูกต้องทุกประการ กินมาสองสามเดือนแล้ว แต่ก็ไม่เห็นดีขึ้น หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเลย
        แต่ถ้าหากลองสังเกตให้ดี จะพบว่า หลาย ๆ คนที่บอกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ส่วนใหญ่มักคิดแต่อาการของโรคประจำตัวที่ตนเองเป็นอยู่ โดยไม่ได้สังเกตอาการด้านอื่น ๆ ที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ได้คิดถึง หรือไม่ได้สังเกตนั่นเอง
        บางคน จะหลับสบายมากขึ้น หลับลึกขึ้น ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกสดชื่น ตื่นแล้วตื่นเลย ไม่มีอาการงัวเงียเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นอาการที่ไม่ได้สังเกต บางคนการขับถ่ายจะดีขึ้น บางรายผิวพรรณดีขึ้น หรือบางคนระบบการหายใจดีขึ้น ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนเมื่อก่อน และอีกมากมายที่มักจะไม่ได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวเอง
        แต่สำหรับอาการป่วยของตนเองที่เป็นอยู่ มีความรู้สึกว่า ไม่ได้ดีขึ้น หรืออาจไม่ดีขึ้นอะไรนัก
        อาการดังกล่าว สำหรับบางคนแล้ว ย่อมเกิดขึ้นได้
        แต่ไม่ได้หมายความว่า หลินจือไม่ได้เข้าไปรักษาอาการดังกล่าวเลย มีการรักษาเกิดขึ้น เพียงแต่อาจไม่มากนัก ก็เลยแทบไม่รู้สึก หรือบางราย เหมือนกับว่าอาการป่วยของตนเองไม่ได้ดีขึ้นเลย
        ตรงนี้ ขอบอกว่า ไม่ได้หมายความว่า หลินจือไม่ได้ประโยชน์ เพียงแต่ขอบอกโดยตรงว่า ปริมาณที่กินของคนป่วยบางคนที่กินตามสูตร อาจไม่เพียงพอที่จะเข้าไปรักษาอาการป่วยของคน ๆ นั้น เป็นเฉพาะตัวสำหรับบางคน
        จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการกินมากขึ้น ดังเช่น คนที่เคยกินวันละ 2 มื้อ คือ เช้า-ค่ำ ก็อาจต้องเพิ่ม เช้า-บ่าย-ค่ำ ในปริมาณตามสูตรที่เคยกินในแต่ละมื้อ
        บางคนอาจหนักกว่านั้น จำเป็นต้องกินถึงวันละ 4 มื้อด้วยซ้ำ ก็คือ เช้า-เที่ยง-เย็น-ค่ำก่อนนอน ซึ่งคนที่จำเป็นต้องกินถึงวันละ 4 มื้อ บอกได้เลยว่า มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะได้ผลกินตามสูตร วันละ 2 มื้อ ส่วนน้อย จำเป็นต้องเพิ่มเป็น 3 มื้อ แต่บางคน น้อยมาก ที่จำเป็นต้องเพิ่มเป็น 4 มื้อ
        ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
        เราไม่สามารถบอกถึงสาเหตุที่ชัดเจนได้ แต่ส่วนใหญ่มาจากบางคน เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังหลายโรค หลินจือจำเป็นต้องแบ่งเฉลี่ยเข้าไปรักษาอาการต่าง ๆ จนโรคไม่คิดว่าจะร้ายแรงนั้น มักจะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนหายก่อน ในขณะที่โรคที่ผู้กินต้องการรักษานั้น กลับเหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น หรือดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็มักจะโทษหลินจือเป็นประการแรกไม่มีประโยชน์อะไรทำนองนี้ กลุ่มคนป่วยประเภทนี้จึงจำเป็นต้องกินเพิ่มมื้อขึ้น เพื่อให้หลินจือมีปริมาณในการออกฤทธิ์ไปรักษาให้ถ้วนหน้าเพิ่มมากขึ้น
        บางราย มาจากร่างกายที่ดูดซับหลินจือไม่ดีเท่าที่ควรในระยะประมาณ 3-6 เดือนแรก ทำให้รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประเภทนี้ก็จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณในการกิน เช่น เพิ่มจากที่กินวันละ 2 มื้อมาเป็น 3 มื้อ หรืออาจถึง 4 มื้อ ก็ย่อมเป็นไปได้
        ขอย้ำและยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า
        หลินจือ ไม่ใช่ “ยาวิเศษ” ที่จะรักษาสารพัดโรคให้หายได้ทุกคน แต่กล้าที่จะยืนยันว่า
        ทุกคนที่ได้กินหลินจือ จะมี “คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน จนมีโอกาสหายจากโรคที่ตนเองเป็นอยู่ และหายกันมาเยอะแล้วด้วย”

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กินหลินจือแล้วทำไมไม่ได้ผล?


ผมมักได้รับคำถามบ่อย ๆ ว่า
กินหลินจือแล้วทำไมไม่ได้ผล?
กินหลินจือแล้วทำไมไม่เห็นหายเลย?
กินหลินจือแล้วทำไมอาการหนักกว่าเดิม?
สารพัดสารพันเกี่ยวกับประเด็นนี้
ประการแรก ผมมักถามกลับว่า
กินหลินจืออะไร? ยี่ห้ออะไร?
มักได้รับคำตอบเพิ่มเติมว่า เป็นหลืนจือที่หาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป หรือ.....
แน่นอน เป็นหลินจือสกัดร้อนแบบสเปรย์ดรายนั่นเอง
ถ้างั้นแสดงว่า หลินจือสกัดร้อนแบบสเปรย์ดรายไม่มีคุณภาพ?
ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ที่มีคุณภาพก็เยอะ ที่ไม่มีคุณภาพก็มีมาก ต้องรู้จักเลือกซื้อยี่ห้อที่ไว้ใจได้เป็นสำคัญ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม หลินจือแบบสกัดร้อนสเปรย์ดราย มีคุณภาพในระดับหนึ่งที่ช่วยในการรักษาโรคเรื้อรังได้ในระดับหนึ่ง เป็นการยับยั้งไม่ให้โรคเรื้อรังกำเริบมากกว่าเดิม โอกาสที่จะหายนั้น ค่อนข้างยากสักหน่อย
ทำไม? แล้วไหนเห็นว่า เคยใช้รักษาโรคเรื้อรังหายเยอะแยะจากบทความต่าง ๆ ที่เคยเห็นเคยอ่าน?
ถูกต้อง บทความต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่า รักษาโรคนี้หาย รักษาโรคนั้นหาย แต่ลองสังเกตให้ดีว่า  เป็นบทความกว่า 20 ปีมาแล้ว ซึ่งในสมัยนั้น โรคเรื้อรังต่าง ๆ ยังไม่ร้ายแรงเหมือนสมัยนี้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมในสมัยนี้ เป็นมลภาวะที่ทำให้โรคเรื้อรังต่าง ๆ ร้ายแรงเพิ่มมากขึ้น โอกาสทีจะหายจากหลินจือสกัดร้อนจึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้กระทั่งหลินจือสกัดเย็นแบบฟรีซดรายในสมัยนี้ ที่มีคุณภาพมากกว่าหลินจือสกัดร้อนไม่รู้กี่สิบเท่า ใช้หลินจือล้วน ๆ โดยเฉพาะ ยังรักษาโรคเรื้อรังไม่ได้ง่ายเลย หรืออาจต้องกินปริมาณหลินจือจำนวนมาก จึงจะได้ผล
แต่สำหรับหลินจือรากและดอก 6 สายพันธ์ของกาโน แม้จะมีคุณภาพยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ แต่ถ้าหากรักษาโรคเรื้อรังร้าย ๆ บางโรค เช่น มะเร็ง ยังต้องให้ผู้ป่วยกินปริมาณมากกว่า 20 คู่ต่อวันในสมัยแรก ๆ  จึงมีโอกาส “เอาอยู่” กับมะเร็งร้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคน
แม้หลาย ๆ คน ได้กินหลินจือของกาโนก็ตาม แต่ก็ยังไม้ได้ผล อันเนื่องมาจาก
1.     ไม่มีวินัยในการกิน เรียกว่า กินบ้าง ไม่กินบ้าง ไม่มีความศรัทธาในการกิน
2.     กินน้อย กลัวหมด
3.     ช่างสงสัยว้า ทำไมต้องกินตั้งเยอะแยะ?
เหล่านี้เป็นต้น
แต่สมัยนี้ สมาชิกครอบครัวกาโน มีโอกาสได้สิ่งดี ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่นอย่างแน่นอน เรามีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่จะเข้ามา “ร่วมด้วยช่วยกัน” ในการรักษาโรคเรื้อรังให้มีโอกาสหายได้ดีขึ้น เร็วขึ้น
หลายคนมักคิดว่า กินหลายตัว เปลืองเงิน บริษัทถือโอกาสขายผลิตภัณฑ์หลายตัวเพิ่มขึ้น เอาเปรียบสมาชิกให้เสียเงินซื้อมากขึ้น?
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ไม่ใช่!!!
บริษัทช่วยคุณประหยัดมากขึ้นต่างหาก!
บริษัทช่วยคุณให้มีโอกาสหายจากโรคเรื้อรังได้เร็วขึ้นต่างหาก!
เมื่อกินหลายตัว ก็ต้องซื้อหลายตัว เปลืองเงินมากขึ้น นี่คือความรู้สึกของสมาชิกส่วนหนึ่ง
ถูกต้อง เมื่อซื้อหลายตัว ก็เท่ากับต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น
แต่...ในความเป็นจริง กินหลินจือน้อยลง ใช้เวลาในการรักษาสั้นลง เช่นบางโรค ในสมัยก่อน ต้องกินหลินจือจำนวนมาก อย่างน้อย ๆ 6 คู่ขึ้นต่อวัน ต้องกินต่อเนื่องติดต่อกันอย่างน้อย 24 เดือนขึ้นจึงมีโอกาสหาย แต่เมื่อมี สกาโน ส้มแขก ถั่งเฉ้า และนมผึ้ง ตลอดจนเครื่องดื่มเข้ามาช่วย สามารถทำให้การรักษาให้มีโอกาสหายสั้นลงเหลือประมาณ 12 เดือนโดยเฉลี่ย
นี่คือ “การประหยัด”
ประหยัดเงินลง ที่สำคัญ ประหยัดเวลาในการรักษาให้หายเร็วขึ้น
นี่แหละ ถ้าหากสมาชิกครอบคร้วกาโน กินให้ครบสูตร มีวินัยในการกิน อย่ากินบ้างไม่กินบ้าง กินให้ครบตามที่กำหนดไว้
ยืนยันอีกครั้งว่า
โรคประจำตัวที่เป็นอยู่
มีโอกาสหายค่อนข้างสูง แม้บางรายจะไม่หายขาดแน่นอน 100% แต่ยืนยันได้ว่า
“คุณภาพชีวิตต้องดีขึ้นแน่นอน”